โหราศาสตร์ไทย

การดูดาวจรในโหราศาสตร์ไทย

การดูดาวจรในโหราศาสตร์ไทยเป็นศิลปะและวิทยาศาสตร์ที่ต้องอาศัยความรู้พื้นฐานที่มั่นคงและประสบการณ์ในการตีความค่ะ ไม่ใช่แค่การดูว่าดาวอยู่ที่ไหนในปัจจุบัน แต่เป็นการนำไป สัมพันธ์กับพื้นดวงกำเนิด (พื้นชะตา) ของแต่ละบุคคล

นี่คือวิธีและหลักการสำคัญในการดูดาวจรในโหราศาสตร์ไทย:

1. สิ่งที่ต้องมีก่อนเริ่มดูดาวจร:

  • พื้นดวงกำเนิด (Natal Chart / พื้นชะตา) ที่แม่นยำ: นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด คุณต้องมีแผนที่ดวงดาว ณ วัน เดือน ปี เวลา และสถานที่เกิดที่ถูกต้อง เพราะพื้นดวงกำเนิดคือรากฐานของชีวิตและศักยภาพทั้งหมด
    • คุณจะต้องรู้ ลัคนา (Ascendant) ของคุณอย่างแม่นยำ
    • รู้ว่าดาวแต่ละดวง (อาทิตย์-มฤตยู) สถิตอยู่ที่ราศีใด และอยู่ในเรือนชะตา (ภพ) ใดในพื้นดวงของคุณ
    • รู้คุณภาพของดาวในพื้นดวงของคุณ (เช่น เกษตร, อุจจ์, ประ, นีจ)
  • ปฏิทินโหราศาสตร์ไทย / โปรแกรมคำนวณดาวจร: คุณจำเป็นต้องรู้ตำแหน่งของดาวเคราะห์ในปัจจุบัน (ดาวจร) ว่าวันนี้ เดือนนี้ ปีนี้ ดาวแต่ละดวงอยู่ที่ราศีใด และมีทิศทางการโคจรอย่างไร (เดินหน้า, พักร, มนทร์)
    • ปัจจุบันมีแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์โหราศาสตร์ไทยมากมายที่สามารถคำนวณดาวจรให้ได้อัตโนมัติ เช่น แอป “ผูกดวงไทย”, “โหรา พยากรณ์” หรือบางเว็บไซต์โหราศาสตร์

2. หลักการสำคัญในการพยากรณ์ดาวจร:

เมื่อคุณมีพื้นดวงกำเนิดและตำแหน่งดาวจรแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการนำมาวิเคราะห์ร่วมกัน:

A. ดาวจรเข้าทับ / เล็ง / ทำมุมกับลัคนา: นี่คือจุดแรกที่สำคัญที่สุด โหรจะดูว่าดาวจรดวงใดกำลังโคจรมา:

  • ทับลัคนา: (อยู่ในราศีเดียวกับลัคนา) มีอิทธิพลต่อตัวตน บุคลิกภาพ การดำเนินชีวิตโดยตรง
    • ตัวอย่าง: ถ้าดาวพฤหัสบดี (๕) จรมาทับลัคนา อาจหมายถึงช่วงชีวิตที่มีความเจริญก้าวหน้า ผู้ใหญ่ให้คุณ มีโชคลาภ
    • ตัวอย่าง: ถ้าดาวเสาร์ (๗) จรมาทับลัคนา อาจหมายถึงช่วงชีวิตที่เจออุปสรรค ความเครียด ความล่าช้า ต้องใช้ความอดทน
  • เล็งลัคนา: (อยู่ในราศีตรงข้ามกับลัคนา) ส่งผลต่อเรื่องคู่ครอง หุ้นส่วน และความสัมพันธ์กับผู้อื่น
  • ตรีโกณลัคนา: (ห่างจากลัคนา 120 องศา หรือ 4 ราศี) มักจะให้ผลดี มีความราบรื่น หรือได้มาอย่างง่ายดาย
  • จตุรัสลัคนา: (ห่างจากลัคนา 90 องศา หรือ 3 ราศี) มักจะให้ผลในเชิงอุปสรรค ความขัดแย้ง ความท้าทาย

B. ดาวจรเข้าเรือนชะตา (ภพ) ต่างๆ ในพื้นดวง:

  • หลักการ: ดูว่าดาวจรดวงใดเข้าไปสถิตอยู่ในเรือนชะตา (ภพ) ใดในพื้นดวงของเรา (นับจากลัคนา) ดาวจรถือเป็น “เหตุการณ์” ที่เข้ามาในชีวิต ส่วนเรือนชะตาคือ “เรื่องราว” ที่จะได้รับผลกระทบ
  • ตัวอย่าง:
    • ถ้าดาวอังคาร (๓ – ดาวแห่งการต่อสู้ อุบัติเหตุ) จรเข้าเรือน “อริ” (เรือนอุปสรรค ศัตรู) อาจหมายถึงมีเหตุต้องต่อสู้กับปัญหา ศัตรู หรือมีเรื่องเดือดร้อน
    • ถ้าดาวศุกร์ (๖ – ดาวแห่งความรัก การเงิน) จรเข้าเรือน “ปัตนิ” (เรือนคู่ครอง) อาจหมายถึงมีเกณฑ์ได้เจอเนื้อคู่ ความรักสมหวัง หรือหุ้นส่วนนำโชคมาให้
    • ถ้าดาวพฤหัสบดี (๕) จรเข้าเรือน “กัมมะ” (เรือนการงาน) อาจหมายถึงการงานเจริญก้าวหน้า ได้เลื่อนตำแหน่ง ผู้ใหญ่สนับสนุน
  • การพิจารณา: ต้องดูด้วยว่าดาวจรนั้นเป็นดาวดีหรือร้าย และมีทิศทางการโคจรอย่างไร (พักร มนทร์) รวมถึงดาวที่สถิตในเรือนนั้นๆ ในพื้นดวงเดิมเป็นอย่างไร

C. ดาวจรสัมพันธ์กับดาวเดิมในพื้นดวง:

  • หลักการ: ดูว่าดาวจรดวงใดกำลังทำมุมสัมพันธ์ (เช่น ทับ, เล็ง, โยค, ตรีโกณ) กับดาวเคราะห์ดวงอื่นที่อยู่ในพื้นดวงกำเนิดของเรา
  • ตัวอย่าง:
    • ดาวพฤหัสบดี (๕) จรมา ทับ ดาวอาทิตย์ (๑) ในพื้นดวงเดิม: อาจหมายถึงผู้ใหญ่ให้การสนับสนุน ได้รับเกียรติ หรือความสำเร็จในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอาทิตย์และเรือนที่อาทิตย์สถิตอยู่
    • ดาวเสาร์ (๗) จรมา เล็ง ดาวศุกร์ (๖) ในพื้นดวงเดิม: อาจมีปัญหาความสัมพันธ์ ความรักไม่ราบรื่น หรือปัญหาการเงิน
  • การพิจารณา: ต้องรู้ความหมายของดาวแต่ละดวง และความหมายของการทำมุมสัมพันธ์กัน รวมถึงคุณภาพของดาวทั้งดาวจรและดาวเดิม

D. การใช้ระบบ “ทักษาจร”:

  • หลักการ: โหรไทยมักใช้ระบบทักษาจรควบคู่ไปกับการดูดาวจร เพื่อดูแนวโน้มภาพรวมของปีนั้นๆ
  • การดู: ทักษาจรจะบอกว่าในปีนั้นๆ ดาวใดเป็น “ศรี” (ดี), “เดช” (อำนาจ), “มนตรี” (ผู้ใหญ่), “กาลกิณี” (ร้าย) ฯลฯ
  • ตัวอย่าง: ถ้าปีนั้น “ดาวพุธ” (๔) เป็น “กาลกิณี” ก็ต้องระวังเรื่องการสื่อสาร การเดินทาง หรือเอกสารสัญญา
  • การผสมผสาน: โหรจะนำผลจากทักษาจรมาประกอบกับผลจากดาวจรที่สัมพันธ์กับพื้นดวง เพื่อให้การพยากรณ์สมบูรณ์และแม่นยำยิ่งขึ้น

3. การตีความและสังเคราะห์ผล:

  • ไม่ดูเพียงจุดเดียว: การพยากรณ์ที่ดีต้องไม่ดูแค่จุดใดจุดหนึ่ง แต่ต้อง สังเคราะห์ ข้อมูลทั้งหมดที่ได้จากการดูดาวจรเข้าเรือน ดาวจรสัมพันธ์ดาวเดิม และทักษาจร
  • เทียบกับพื้นดวง: เหตุการณ์ที่ทำนายต้องสัมพันธ์กับศักยภาพและแนวโน้มในพื้นดวงกำเนิดด้วย (เช่น คนที่มีพื้นดวงเรื่องการเงินดี ก็อาจจะได้รับผลดีจากการที่ดาวการเงินจรมาให้คุณมากกว่าคนที่มีพื้นดวงการเงินไม่ดีนัก)
  • พิจารณาทิศทางการโคจร: อย่าลืมดูว่าดาวจรนั้นๆ กำลัง “พักร” (ถอยหลัง) หรือ “มนทร์” (ช้าลง/หยุดนิ่ง) เพราะจะส่งผลต่อลักษณะของเหตุการณ์ (เช่น ล่าช้า ติดขัด หรือเกิดเรื่องสำคัญ)

สรุป:

การดูดาวจรในโหราศาสตร์ไทยคือการนำ “ภาพท้องฟ้าปัจจุบัน” มาซ้อนทับกับ “ภาพท้องฟ้าในวันเกิด” ของเรา เพื่อดูว่าพลังงานจากดวงดาวในปัจจุบันกำลังส่งผลกระทบต่อชีวิตเราในด้านใด และในช่วงเวลาใด โดยต้องอาศัยการคำนวณที่แม่นยำและความเข้าใจในความหมายของดาวและเรือนชะตาอย่างลึกซึ้งค่ะ หากคุณสนใจ ควรเริ่มต้นจากการหาพื้นดวงกำเนิดของคุณให้แม่นยำที่สุดก่อน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *