ประวัติความเป็นมาโหราศาสตร์ไทย
โหราศาสตร์ไทยเป็นศาสตร์แห่งการพยากรณ์ที่มีรากฐานลึกซึ้งในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย โดยได้รับอิทธิพลหลักมาจาก โหราศาสตร์อินเดีย (พราหมณ์-ฮินดู) ผสมผสานกับภูมิปัญญาและความเชื่อท้องถิ่นของไทย จนเกิดเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ต้นกำเนิดและอิทธิพล
โหราศาสตร์ไทยเชื่อกันว่ามีที่มาตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยได้รับอิทธิพลจาก คัมภีร์พระเวทในศาสนาพราหมณ์ ซึ่งเป็นศาสตร์แห่งดวงดาวที่เก่าแก่มาก คัมภีร์เหล่านี้ได้แพร่หลายจากอินเดียมายังดินแดนต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย
- อิทธิพลอินเดีย: โหราศาสตร์ไทยใช้หลักการทางดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์จากคัมภีร์สุริยยาตร์ ซึ่งเป็นตำราทางโหราศาสตร์ของอินเดียเป็นหลัก โดยมีการคำนวณตำแหน่งดวงดาวต่างๆ เช่น ดาวอาทิตย์ ดาวจันทร์ ดาวเคราะห์หลัก 5 ดวง (อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์) และจุดสมมติอีก 2 ดวงคือ ราหูและเกตุ (และในยุคหลังมีการเพิ่มมฤตยู) การแบ่งราศีจักร 12 ราศี และภพ 12 เรือน ก็ล้วนได้รับอิทธิพลจากอินเดีย
- อิทธิพลท้องถิ่น: แม้จะได้รับอิทธิพลจากอินเดีย แต่โหราศาสตร์ไทยก็มีการปรับเปลี่ยนและประยุกต์ใช้ให้เข้ากับบริบททางวัฒนธรรมและสังคมของไทย มีการผสมผสานกับความเชื่อพื้นถิ่น พุทธศาสนา และพิธีกรรมต่างๆ
พัฒนาการในแต่ละยุคสมัย
- สมัยสุโขทัย (พ.ศ. 1792 – 2006):
- มีหลักฐานจากพงศาวดารโยนกกล่าวถึงการคำนวณดวงชะตาในยุคจุลศักราช 400 (ประมาณ พ.ศ. 1600) ซึ่งปรากฏการบันทึกดวงชะตาของขุนเจื๋อง กษัตริย์แห่งนครไชยบุรี แสดงให้เห็นว่าโหราศาสตร์มีบทบาทมาตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัยและต่อเนื่องมา
- โหราศาสตร์ในยุคนี้ยังคงจำกัดอยู่ในวงของชนชั้นปกครอง นักปราชญ์ และพระมหาราชครู เพื่อใช้ในการกำหนดฤกษ์ยามสำคัญต่างๆ ของบ้านเมือง
- สมัยอยุธยา (พ.ศ. 1893 – 2310):
- หลักฐานทางประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่ามีการศึกษาและเชี่ยวชาญโหราศาสตร์มากขึ้นกว่าสมัยสุโขทัย แต่ก็ยังคงจำกัดเฉพาะกลุ่มบุคคลสำคัญ
- มีหน่วยงานราชการที่เรียกว่า “กรมโหร” หรือ “สำนักโหรหลวง” ทำหน้าที่ถวายคำปรึกษาด้านฤกษ์ยาม การพยากรณ์ดวงชะตาบ้านเมืองและบุคคลสำคัญ ตลอดจนการทำปฏิทินหลวง
- เชื่อว่ามีการรวบรวมและเขียนตำราโหราศาสตร์ขึ้นในยุคนี้ โดยมีการผสมผสานความรู้จากคัมภีร์อินเดียเข้ากับภูมิปัญญาไทย
- สมัยธนบุรี (พ.ศ. 2310 – 2325):
- แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่โหราศาสตร์ก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในการกอบกู้บ้านเมืองและการวางแผนต่างๆ ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
- สมัยรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. 2325 – ปัจจุบัน):
- ยุคต้นรัตนโกสินทร์: โหราศาสตร์ยังคงเป็นส่วนสำคัญของราชสำนัก มีการฟื้นฟูและรวบรวมตำราต่างๆ
- รัชกาลที่ 1: โปรดให้มีการชำระและรวบรวมตำราโหราศาสตร์ขึ้นใหม่
- รัชกาลที่ 4 (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว): ทรงเป็นกษัตริย์ที่ทรงมีความรู้ความสามารถด้านดาราศาสตร์และโหราศาสตร์อย่างลึกซึ้ง ทรงคำนวณและปรับปรุงปฏิทินหลวง (ปฏิทินปักขคณนา) ให้มีความแม่นยำยิ่งขึ้น รวมถึงทรงสร้างดวงเมืองกรุงเทพฯ ด้วยพระองค์เอง
- สมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส: ทรงนิพนธ์ตำราโหราศาสตร์ที่สำคัญคือ “จักรทีปนี” ซึ่งเป็นตำราโหราศาสตร์ฉบับภาษาไทยที่สมบูรณ์และเป็นที่ยอมรับ
- ยุคกลาง-ปลายรัตนโกสินทร์: โหราศาสตร์เริ่มแพร่หลายสู่สามัญชนมากขึ้น มีการตีพิมพ์ตำราต่างๆ ให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้
- ตำราพรหมชาติ: เป็นตำราโหราศาสตร์ไทยที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางและใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน รวบรวมศาสตร์การดูดวงหลายรูปแบบ เช่น การดูดวงปีเกิด, ลักษณะนิสัย, การทำนายเหตุการณ์ต่างๆ, การดูฤกษ์ยาม
- ยุคปัจจุบัน: โหราศาสตร์ไทยยังคงเป็นที่สนใจและได้รับการศึกษาอย่างต่อเนื่อง มีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วยในการคำนวณดวงชะตา (เช่น โปรแกรมคอมพิวเตอร์) และมีการประยุกต์ใช้ในแง่มุมต่างๆ ของชีวิตประจำวัน เช่น การดูฤกษ์มงคล การดูดวงส่วนบุคคล และการวางแผนชีวิต
- ยุคต้นรัตนโกสินทร์: โหราศาสตร์ยังคงเป็นส่วนสำคัญของราชสำนัก มีการฟื้นฟูและรวบรวมตำราต่างๆ
ลักษณะเด่นของโหราศาสตร์ไทย
- ระบบสุริยยาตร์: ใช้การคำนวณตำแหน่งดวงดาวตามหลักคัมภีร์สุริยยาตร์ ซึ่งเป็นระบบการคำนวณของอินเดีย
- การแบ่งราศีและภพ: แบ่งจักรราศีออกเป็น 12 ราศี และภพ 12 เรือน
- ดาวพระเคราะห์: ใช้ดาวพระเคราะห์ 10 ดวง ได้แก่ อาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์ ราหู เกตุ และมฤตยู
- ทักษา: เป็นระบบการพยากรณ์ที่ผสมผสานอิทธิพลของวันเกิดกับกำลังวันของดาวต่างๆ เพื่อดูทิศทางของชีวิตในแต่ละช่วง (เช่น บริวาร, อายุ, เดช, ศรี, มูละ, อุตสาหะ, มนตรี, กาลกิณี)
- ภูมิทักษา: การนำหลักทักษามาใช้ร่วมกับการกำหนดทิศทางเพื่อความเป็นมงคล
- การผูกดวงแบบไทย: มีรูปแบบการวางดวงดาวในตารางที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ
โดยสรุปแล้ว โหราศาสตร์ไทยเป็นศาสตร์ที่สืบทอดภูมิปัญญาอันยาวนานจากอินเดีย ผสมผสานกับวัฒนธรรมและความเชื่อของไทย จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนไทย ที่ใช้ในการทำนาย วางแผน และสร้างความมั่นใจในการดำเนินชีวิตมาทุกยุคทุกสมัย