ความเป็นมา โหราศาสตร์สากล
โหราศาสตร์สากล หรือ โหราศาสตร์ตะวันตก มีความเป็นมายาวนานและซับซ้อน โดยมีรากฐานมาจากอารยธรรมโบราณหลายแห่ง ผสมผสานและพัฒนาต่อยอดกันมาจนเป็นระบบที่เราเห็นในปัจจุบัน
1. รากฐานจากบาบิโลเนีย (Mesopotamia / Babylon):
- จุดเริ่มต้น: เชื่อกันว่าโหราศาสตร์มีจุดกำเนิดมาจากการเฝ้าสังเกตการณ์ท้องฟ้าของชาวบาบิโลเนีย (เมโสโปเตเมีย) เมื่อประมาณ 2,000-3,000 ปีก่อนคริสตกาล (ราว 2,000 – 1,000 ปีก่อนคริสตกาล หรือแม้แต่ย้อนไปถึงยุคสำริด)
- การบันทึกปรากฏการณ์: ชาวบาบิโลเนียเป็นผู้ริเริ่มการบันทึกการเคลื่อนที่ของดวงดาว ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์อย่างเป็นระบบ พวกเขาเชื่อว่าเทพเจ้าใช้ปรากฏการณ์บนท้องฟ้าเป็นสัญญาณเพื่อสื่อสารกับมนุษย์
- การพัฒนาจักรราศี: การแบ่งเส้นสุริยวิถีออกเป็น 12 ส่วนเท่าๆ กัน หรือที่เรียกว่า “จักรราศี” มีต้นกำเนิดมาจากชาวบาบิโลเนีย โดยพวกเขาได้เชื่อมโยงกลุ่มดาว 12 กลุ่มตามแนวสุริยวิถีเข้ากับลักษณะเฉพาะต่างๆ
- “อุปสรรคจากฟ้า” (Omens): โหราศาสตร์บาบิโลเนียในยุคแรกเน้นการตีความสัญญาณจากท้องฟ้าเพื่อทำนายเหตุการณ์สำคัญที่จะเกิดขึ้นกับอาณาจักร กษัตริย์ หรือภัยพิบัติ ไม่ได้เน้นการทำนายดวงชะตาเฉพาะบุคคลเหมือนในปัจจุบัน
2. การผสมผสานกับอียิปต์โบราณ:
- Horoscopic Astrology: ชาวอียิปต์โบราณมีส่วนสำคัญในการพัฒนารูปแบบโหราศาสตร์ที่เรียกว่า “Horoscopic Astrology” ซึ่งเป็นพื้นฐานของโหราศาสตร์สากลในปัจจุบัน โดยเป็นการทำนายดวงชะตาเฉพาะบุคคลโดยการสร้างแผนที่ดวงดาว (Horoscope) ณ เวลาเกิดที่แม่นยำ
3. ยุคเฮลเลนิสติก (Hellenistic Period – กรีก-โรมัน):
- การแพร่หลายสู่กรีก: หลังจากการพิชิตเอเชียของอเล็กซานเดอร์มหาราช (ประมาณ 330 ปีก่อนคริสตกาล) ความรู้โหราศาสตร์จากบาบิโลเนียและอียิปต์ได้แพร่หลายเข้าสู่โลกกรีก-โรมัน นักโหราศาสตร์ชาวบาบิโลเนียบางคน (เช่น Berossus) ได้เดินทางไปสอนโหราศาสตร์ในกรีก
- การพัฒนาระบบ: ชาวกรีกเป็นผู้ที่นำองค์ความรู้โหราศาสตร์มาจัดระบบให้เป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น พวกเขาเพิ่มปรัชญา เหตุผล และเรขาคณิตเข้าไปในการตีความ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักปราชญ์อย่าง ปโตเลมี (Ptolemy) ซึ่งเป็นนักดาราศาสตร์และนักโหราศาสตร์ชาวกรีกที่อาศัยอยู่ในอียิปต์ในศตวรรษที่ 2 ค.ศ.
- ตำรา Tetrabiblos: ปโตเลมีได้เขียนตำราสำคัญชื่อ “Tetrabiblos” ซึ่งถือเป็นตำราหลักของโหราศาสตร์สากล เป็นการรวบรวมและจัดระบบความรู้โหราศาสตร์ที่มีมาแต่เดิมให้เป็นมาตรฐาน ครอบคลุมทั้งแนวคิดเกี่ยวกับดาวเคราะห์ ราศี เรือนชะตา และมุมสัมพันธ์ (Aspects) ตำรานี้เป็นรากฐานสำคัญของการทำนายดวงชะตาแบบ Horoscopic Astrology และยังคงมีอิทธิพลอย่างมากมาจนถึงปัจจุบัน
- Tropical Zodiac: ในยุคเฮลเลนิสติกนี่เองที่ระบบ Tropical Zodiac (การนับราศีตามจุดวสันตวิษุวัตหรือการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล) ได้รับการพัฒนาและเป็นที่นิยม ซึ่งเป็นจุดแตกต่างจากระบบ Sidereal Zodiac ที่ใช้ในโหราศาสตร์อินเดียหรือไทย
4. ยุคกลาง (Middle Ages):
- การส่งผ่านความรู้: เมื่อจักรวรรดิโรมันล่มสลาย โหราศาสตร์ในยุโรปก็เสื่อมถอยลงชั่วคราว แต่ความรู้ยังคงถูกรักษาและพัฒนาต่อโดยนักวิชาการในโลกอิสลาม (Islamic Empire) พวกเขาแปลตำรากรีกและละตินออกเป็นภาษาอาหรับ และได้เพิ่มองค์ความรู้ทางคณิตศาสตร์และดาราศาสตร์เข้าไป
- การกลับคืนสู่ยุโรป: ในภายหลัง (ราวศตวรรษที่ 12-13) ความรู้โหราศาสตร์จากโลกอิสลามได้ถูกแปลกลับเป็นภาษาละตินและกลับเข้าสู่ยุโรปอีกครั้ง ทำให้โหราศาสตร์กลับมาเฟื่องฟู โดยเฉพาะในหมู่นักวิชาการ แพทย์ และราชสำนัก
5. ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาและการปฏิวัติวิทยาศาสตร์:
- รุ่งเรือง: ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance) โหราศาสตร์ยังคงเป็นส่วนสำคัญของการศึกษาและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง นักวิทยาศาสตร์หลายคนในยุคแรกก็เป็นนักโหราศาสตร์ด้วย
- การแยกตัวจากดาราศาสตร์: เมื่อการปฏิวัติวิทยาศาสตร์เกิดขึ้นและดาราศาสตร์ได้พัฒนาไปในทิศทางที่เน้นการสังเกตการณ์และคณิตศาสตร์ที่แม่นยำยิ่งขึ้น โหราศาสตร์จึงค่อยๆ แยกตัวออกจากดาราศาสตร์ และเริ่มถูกมองว่าเป็นศาสตร์คนละแขนง
6. โหราศาสตร์สมัยใหม่:
- เน้นจิตวิทยา: ในศตวรรษที่ 20 โหราศาสตร์สากลได้พัฒนาไปในทิศทางที่เน้นการทำความเข้าใจด้านจิตวิทยาและบุคลิกภาพของบุคคลมากขึ้น ไม่ใช่แค่การทำนายเหตุการณ์เท่านั้น
- การเข้าถึงง่ายขึ้น: การพัฒนาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ทำให้การคำนวณดวงชะตากำเนิดซับซ้อนๆ เป็นไปได้ง่ายขึ้นมาก ทำให้โหราศาสตร์เข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น
สรุปคือ โหราศาสตร์สากลมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เริ่มจากการสังเกตการณ์ท้องฟ้าของชาวบาบิโลเนีย พัฒนาเป็นระบบที่ซับซ้อนโดยชาวกรีก-โรมัน โดยมีตำรา Tetrabiblos ของปโตเลมีเป็นรากฐานสำคัญ ก่อนจะมีการส่งผ่านความรู้ผ่านอารยธรรมต่างๆ และพัฒนามาสู่รูปแบบที่เน้นการทำความเข้าใจบุคลิกภาพและจิตวิทยาในยุคปัจจุบัน